รีวิว Burn After Reading

ทุกวันนี้โลกความจริง กับโลกในหนังมีพื้นที่ว่างไม่ห่างกัน ถึงจะห่างกันทว่ามีเส้นบาง ๆ เส้นหนึ่งเท่านั้นที่ขวางกั้นอยู่ บางครั้งเราเข้าใจว่า “ข้อเท็จจริง” (บางส่วน) จากในหนังคือข้อเท็จจริงทั้งหมด เมื่อเราดูหนังจบทำให้เราเข้าใจว่าเรารู้จัก “โลก” ได้อย่างถ่องแท้ทุกแง่มุม ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

จนทำให้เราสำคัญผิดคิดว่า “โลกความจริง” นั้นมีตัวตนอยู่ในพื้นที่หนัง (หรือสื่ออื่น ๆ) และบางเวลาเราก็ยังเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ มีใครสักคนบงการอยู่ (The Matrix, The Truman Show)

ใครสักคนทั้งที่เป็นพระเจ้า คนที่มีอำนาจ รวมถึงระบอบการปกครอง แต่เมื่อสาวถึงเนื้อในแก่นแกนลึกที่สุด บางที…คนที่เราว่า…อาจจะไม่มีตัวตนก็ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราอาจจะเป็นความเลินเล่อ หรือสิ่งไร้สาระที่หาค่าไม่ได้ แล้วความจริงในหนังทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงเรื่องแต่งธรรมดาที่เป็นเพียงความละเมอเพ้อพก

เช่นเดียวกับหนังเรื่อง Burn After Reading หรือชื่อไทย “ยกขบวนป่วนซีไอเอ” ที่ชวนให้คิดว่าเป็นหนังบู๊สนุก ๆ ในแบบมีคลาสนิด ๆ  รับรองว่าถ้ามีแต่ชื่อไทยคนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายคงไม่ไปดูแน่ ที่จริงหนังเรื่องนี้จุดขายอยู่ที่ผู้กำกับสองพี่น้อง โจเอล

และอีธาน โคลเอนนั่นเอง แล้วถ้าใครหวังไปดูหนังในแบบจิตป่วนหฤโหดแบบ No Country for Old Man ก็ไม่ใช่อยู่ดี เพราะหนังเรื่องนี้ของสองพี่น้องทำคนละแนวกับ No Country for Old Man

อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ แม้นว่า Burn After Reading จะเป็นหนังในแนวคอมเมดี แต่แนวทางของหนังยังเป็นแนวทางของทั้งสองผู้กำกับ หนังตลกของทั้งสองไม่ใช่หนังตลกในแบบ Scary Movie หรือหนังล้อเลียนหนัง แต่เรียกว่าหนังแนวเสียดสี

Burn After Reading ไม่ได้แค่ล้อเลียนหนังฮอลีวู๊ด ไม่ได้แค่ล้อเลียนอาการหนังแอคชั่น แต่ยังล้อเลียนไปถึงสังคมอเมริกันและของโลก ซึ่งเรากำลังตกอยู่ในอิทธิพลบางอย่างที่ครอบงำวิถีชีวิตของมนุษย์

หนังจับคู่ภาพความขัดแย้งเอาไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่องค์กรใหญ่อย่าง ซีไอเอ ซึ่งการเมืองภายในต่างเลื่อยขาเก้าอี้กันเอง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข่าวลับสุดยอดออสบอร์น คอกส์ (จอห์น มัลโควิช) ถูกปลดออกจากงานอย่างสายฟ้าแลปในข้อหาติดเหล้า

 

รีวิว Burn After Reading

 

ขณะที่ตัวเขากับแคทตี้-ภรรยาก็เต็มไปด้วยความไม่ลงรอยกัน และนำมาสู่ทางตันของชีวิตคู่ โดยภรรยาของเขานอกใจแอบไปคบกับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังแฮร์รี่ ฟาร์เรอร์ (จอร์จ คูนีย์) แฮร์รี่ชอบใช้ชีวิตเซ็กซ์กับสาวแปลกหน้าโดยการนัดบอดผ่านทางอินเตอร์เน็ต

ทั้งที่เขายังรักภรรยาของตน และเข้าใจว่าตนนั้นเป็นชายเหนือชายที่ไม่งี่เง่าเหมือนผู้ชายน่าเบื่อคนอื่น ๆ ความขัดแย้งในครอบครัวถูกหยิบยกมากล่าวถึงในแง่มุม “โกหก” “หวาดระแวง” “ต้องสงสัย”

สิ่งเหล่านี้ถูกครอบครองด้วยภาวะ “ทึกทัก” เอาเอง  คู่ขัดแย้งจึงกลายเป็นลูกโซ่ที่เกี่ยวเนื่องกันเริ่มจาก ซีไอเอ-ออสบอร์น-แคทตี้-แฮร์รี-ภรรยาของแฮร์รี ต่างกลายเป็นคู่ความขัดแย้งที่ก่อให้เกิดวัฏจักรแห่งปัญหา ถ้าใช้ภาษาธรรมมันก็คือเหตุแห่งทุกข์ย่อมเกิดจากการละเมิดศีลนั่นเอง

ส่วนคู่ความสัมพันธ์ของตัวละครอีกฟากคือ ลินดา ลิทซ์เก้ (ฟรานเชส แมคดอร์มานด์) พนักงานในโรงยิม ที่คิดว่าตัวเองแก่ ไม่สวย ขาดความมั่นใจ เธอต้องการเงินเพื่อทำศัลยกรรม เงินประกันชีวิตที่เธอส่งให้บริษัทไม่ครอบคลุมที่จะทำให้เธอได้เงินเพื่อไปทำศัลยกรรม

บังเอิญที่แช้ด-เพื่อนพนักงานโรงยิม (แบรด พิตต์) ได้แผ่นซีดีที่ลูกค้าในโรงยิมทำตกเอาไว้ เขาคิดว่ามันคงเป็นข้อมูลสำคัญทางราชการ ลินดาวาบคิดขึ้นมาได้ว่าเธอจะหาเงินมาศัลยกรรมด้วยการแบลคเมล์

เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นจึงค่อย ๆ ยกระดับสถานะของความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ลินดาต้องการต่อสู้เพื่อบรรลุเป้าหมายของตน จนไม่สนใจว่ามันก่อให้เกิดความเสียหาย บางทีเธออาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความเสียหายเกิดขึ้น

และจะมีผลต่อคนอื่นอย่างไร ข้อเรียกร้องของเธอเต็มไปด้วยความจริงใจ เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ แต่เธอลืมไปว่าเธอไม่สามารถบงการคนอื่นได้ เพราะแท้แล้วเธอไม่ใช่คนสำคัญ สิ่งที่เธอมีอยู่มันไม่ได้สำคัญมากไปกว่าขยะ

หนังของพี่น้องโคลเอนดูสนุก เขียนบทได้อย่างกวนทีน มีลูกล่อลูกชน สร้างเสียงหัวเราะได้เกือบทุกฉาก (แม้แต่ฉากโหด ๆ ที่มันตลก แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้) การแสดงของจอร์จ คูนีย์, แบรด พิตต์, ฟรานเชส แมคดอร์มานด์ อยู่ในระดับที่ดีมาก จอร์จ คูนีย์ สลัดภาพพระเอกในแบบฮีโร่ทิ้งได้อย่างเนียน ๆ

ด้วยการเล่นเป็นชายเจ้าชู้ ขี้อวด (สวมทองเส้นใหญ่ ๆ) เฉิ่ม (ใส่กางเกงเอวเกือบถึงอก) และงี่เง่า (ชอบพูดโอ้อวด) ส่วนแบรด พิตต์ เล่นเป็นพวกขี้แพ้ ติงต๊อง ต้องสวมกางเกงขาสั้น ๆ รัด ๆ แบบหนุ่มนักยิม

เขาคือตัวขโมยซีนดี ๆ นี่เองๆ บทของแบรด พิตต์ อาจจะเอาดาราหนุ่ม ๆ หน้าใหม่มาเล่นก็ได้ แต่ภาพของแบรด พิตต์ นั้นคอนทราสต์กับบทบาทเดิม ๆ ของเขา ซึ่งมันสามารถส่งผลความคอนทราสต์ต่อคนดูได้ดี ซึ่งจุดนี้แหละครับที่ผู้กำกับต้องการมากที่สุด แล้วแบรด พิตต์ก็ทำได้ยอดเยี่ยมเสียด้วย ไปดูกันเลยที่เว็บดูหนังฟร

 

 

แรงฉีกกระชากของ Burn After Reading เป็นเสมือนมายาภาพที่ทำให้คนดูตระหนักว่า ภาวะสับสนอลหม่านของปัญหา ไม่อาจจะนำพาไปสู่ทางออกจริง ๆ เพราะทางออกส่วนมากมักจะเลอะเลือน ไร้ปัญญา

และต้องแลกสิ่งนั้นในราคาที่เท่าเทียมกันหรือแพงกว่า ความขัดแย้งในหนังนำพาไปสู่จุดจบที่ไร้สาระ แต่เป็นภาพไร้สาระที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้มักเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ภาพของหนังในตอนเริ่มเรื่อง

จากมุมมองเหนือเมฆ ซูมเข้าไปสู่พื้นโลก ตอนจบของหนังค่อย ๆ ดึงเราออกมาจากเหตุการณ์ ลอยไปสู่เบื้องบนอีกครั้ง เท่ากับแปรสภาพคนดูกลายเป็นพระเจ้า ที่ไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้ นอกจากนั่งมองเหตุการณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น และปล่อยให้มันเป็นไป

โลกเราทุกวันนี้ มันแปลกดีแท้เนาะ ..อะไรๆในสิ่งไหนที่ดูเหมือนจะมีเหตุมีผล สิ่งเหล่านั้นมักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่เป็นเหตุเป็นผลอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ

ดูอย่างคดีฆาตกรรมทั้งหลายแหล่เป็นไร ..ที่เกิดเหตุอันเลวร้ายขึ้น มันก็มักจะเป็นเพียงเพราะคนหนึ่งคนเกิดการผิดใจกับอีกคน ในเรื่องที่จะปล่อยวางก็ได้ แต่เลือกจะไม่ทำ

หากเมื่อถามว่า ทำไมถึงต้องฆ่า ..เขาก็มักจะตอบว่า ไม่รู้สิ ไม่มีเหตุผล

หรือดูอย่างสถานการณ์ความรุนแรงในบ้านเมืองของเราอีกเป็นไร ..ที่ทำให้ประเทศทั้งประเทศต้องลุกเป็นไฟ มันใช่เพราะคนสองคนมีเบื้องลึกเบื้องหลังขัดเคืองใจในมิตรภาพต่อกันหรือเปล่า

หากเมื่อบังเอิญคนหนึ่งแค้นแรง อีกคนทำละเลย ในวันนั้น ..แล้วเหตุไฉนไปๆมาๆ ในวันนี้ถึงได้พาลมาทำให้คนอื่นต้องเป็นเดือดเป็นร้อนไปกับเขาด้วยล่ะ

รีวิว Burn After Reading

ส่วนตัวผม ในจุดนี้ ณ เวลานี้ ก็คงอยากจะทำแต่หน้าอันเฉยเมย และเอ่ยว่า “ไม่รู้สิ และก็ไม่อยากจะหาเหตุผลอันสมควรให้มันด้วย” ไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

เรื่องทุกเรื่อง เราอาจจะเคยรู้ว่า มันล้วนแต่มีเหตุมีผลอยู่ในตัวของมัน ดังคำสอนของศาสนา ในทุกๆศาสนาเคยกล่าวมา ..แต่ทว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอันจริงแท้และแน่นอนของวันนี้

มันกลับค่อยๆล้างความเชื่อเหล่านั้นทิ้งไป …พร้อมทั้ง เผาทำลายสิ่งที่เราเรียกว่าความสัตย์ในใจคน ให้หลอมละลายไปพร้อมกับการใช้สมองคิดไตร่ตรองถึงความถูกต้อง.. อันมีผลทำให้การวิจัยในหลายๆครั้ง ในปัจจุบันพบว่า อะไรก็ตามที่อยู่ในสมองของคน หดลง หดลง และหดลงไปเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะครับ ..และมันก็เป็นไปได้ เพราะวิทยาศาสตร์มันได้บอกเอาไว้อย่างนั้นจริงๆ

แต่กระนั้นแล้ว สิ่งหนึ่งที่วิทยาศาสตร์คงไม่ฉลาดพอจะคิดแทนคนหมู่มากได้ ก็เห็นจะมีเพียงแค่ เรื่องของจิตใจคน ที่ยากจะหยั่งลึก แล้ววิจัยออกมาว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์นี้ จะฉลาดกันได้ถึงจุดไหน

และถ้าเราจะจำแนกคนประเภทที่เรียกตัวเองว่า ‘อัจฉริยะ’ กับ คนที่ไม่อยากจะให้ใครเรียกตัวเองว่า ‘ไอ้บ้า’ ด้วยแล้ว.. มันก็ยิ่งจะหากลวิธีอันใด รูปแบบไหน มาสามารถจำกัดความของสองสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน

 

รีวิว Burn After Reading

เพราะคนทั้งสองประเภทนี้ ต่างก็ยืนกระต่ายขาเดียว อยู่บนเส้นตรงเส้นเดียวกัน ที่สามารถจะเอียงไปซ้าย หรือขวาก็ได้หมด.. หากเพียงแค่การทรงตัวของหัวสมอง จะเทไปทางไหนมากกว่ากัน

ตัวละครหลายตัว หลากคาแรกเตอร์ ในหนังของ สองผู้กำกับพี่น้อง “โคเอน” ..ถือเป็นตัวอย่างประกอบการเรียนชั้นดี ที่คนรักหนังอย่างเราๆ จะสามารถมองหาซึ่งคนที่เรียกได้ว่าทั้ง อัจฉริยะ และบ้า ในตัวคนเดียวกัน ได้โดยง่าย …เพียงแค่เราลองสุ่มสี่สุ่มห้าเลือกหนังของพี่น้องคู่นี้มาสักเรื่องแล้ว เอาอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีตัวละครเด่นๆอยู่สักคนหนึ่ง ที่เข้าข่ายอยู่ในอีหรอบนี้ได้อย่างแน่แท้

หากทว่า ถ้าเรายังคงรู้สึกว่า มันไม่ถึงกับชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋มากพอจะเอามาเรียนรู้เป็นประสบการณ์ของชีวิตด้วยแล้วละก็ …ผมขอแนะนำหนังเรื่องใหม่ล่าสุด ที่กล้าจะการันตีว่ามันเป็นความอัจฉริยะบนความบ้าได้ ถ้าคุณแน่พอจะลองของกับสองโคเอน

ความรู้สึกหลังดู

นี่เป็นหนังที่แปลก และฉันไม่ได้หมายความในทางที่ดี นั่นเป็นเพราะว่าไม่เหมือนกับภาพยนตร์ Coen Brothers ส่วนใหญ่ที่ฉันเคยดู ฉันรู้สึกไม่ค่อยเห็นใจตัวละครใด ๆ เลย และมันก็ดูเหมือนแยกจากกันมาก ไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

และบางครั้งก็ไม่น่าสนใจ แม้ว่าฉันจะสามารถเคารพความสลับซับซ้อนของโครงเรื่องและการแสดงที่ดีได้ แต่ฉันรู้สึกว่าไม่สามารถใส่ใจเกี่ยวกับภาพยนตร์ได้น้อยลงและสามารถปิดมันได้ง่ายๆ และไม่จบเลย

อันที่จริงถ้าไม่ใช่หนัง Coen Brothers ฉันคงทำอย่างนั้น โชคดีที่หนังเรื่องนี้ดีขึ้นเล็กน้อยในตอนท้าย แต่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เวลาที่ฉันทุ่มเทไปกับมันให้คุ้มกับผลตอบแทน

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่รู้ว่ามันสร้างมาเพื่อคอเมดี้หรือละคร และถ้ามันควรจะเป็นแนวตลก การฆ่าอย่างโจ่งแจ้งในตอนท้ายของหนังไม่ใช่ประเภท FARGO ที่ตลกแต่เป็นเพียงแค่ความรุนแรง ความรุนแรงและการสาปแช่งนี้ฆ่าความตลกขบขัน แม้ว่าฉันยังไม่แน่ใจว่ามันควรจะเป็นแนวตลกหรือไม่…แม้จะอยู่ในระดับมืด

ปัญหาอื่นคือไม่มีใครในภาพยนตร์เรื่องนี้ดีเป็นพิเศษหรือน่าสนใจขนาดนั้น อันที่จริง มันเกือบจะเหมือนกับว่าหนังพยายามจะบอกว่าทุกคนเลว และมันก็ไร้ความหมายมาก บางที แต่ฉันเพิ่งพบว่าเรื่องนี้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยากต่อความสัมพันธ์หรือสนใจ แม้ว่าการแสดงโดยทั่วไปจะดีก็ตาม

“บลา” เป็นคำที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะใช้กับภาพยนตร์ของพี่น้องโคเอน ฉันเคยดูหนังของพวกเขามาหมดแล้ว และฉันต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องแรกที่พวกเขาดูหมิ่นเหม่ แม้แต่ความล้มเหลวของพวกเขาก็ยังดีและท้าทายมาก…อันนี้ก็เฉยๆ

ตามธรรมเนียมของฟาร์โก พี่น้องโคเอนได้นำเสนอเรื่องตลกแดกดันที่สร้างความหายนะให้กับความมั่นคงของชาติ และแสดงให้เห็นว่าคนหวาดระแวงเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร นอกจากนี้ยังมี ‘ในทางกลับกัน’ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่อาจมีการโต้แย้งว่าความหวาดระแวงเล็กน้อยนั้นดีต่อสุขภาพเป็นระยะๆ

 

รีวิว Burn After Reading

 

John Malkovich เป็นลูกจ้างของ CIA ซึ่งนายจ้างต้องการปลดเปลื้องงานของเขา แต่มัลโควิชที่ดื่มมากจะไม่รับคำใบ้ใดๆ พูดตรงๆ ว่าต้องออกไปและเขาก็ทำ แต่เขายังกำหนดไดอารี่บนแผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์

ไดอารี่ดังกล่าวพบได้ในโรงยิมที่พนักงานของ Malkovich ไปเยี่ยมเยียน Frances McDormand และ Brad Pitt ไม่ใช่สองคนที่ฉลาดที่สุดที่อยู่รอบตัวพวกเขาตัดสินใจว่านี่อาจคุ้มค่าเงินก้อนโตสำหรับใครบางคน แม้แต่ชาวรัสเซีย

ความคิดของฉันย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็นที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เห็นได้ชัดว่าแนวคิดเรื่องการทรยศไม่ได้รวมอยู่ในความคิดของใคร รวมทั้งจอร์จ คลูนีย์ ข้าราชการที่แต่งงานแล้วซึ่งกำลังคุยกับทิลด้า

สวินตันที่แต่งงานกับมัลโควิช ความภักดีและความจงรักภักดีก็อยู่นอกหน้าต่างเช่นกัน คลูนีย์รู้เรื่องไดอารี่และตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ด้วย เขากำลังถูกจับตามอง แต่สำหรับกิจกรรมนอกใจของเขา

Burn After Reading มีการต่อต้านจุดไคลแม็กซ์ที่จำเป็น โดย CIA ระดับบนสุดจะได้ยินรายงานเกี่ยวกับความโง่เขลาเหล่านี้ เจ.เค. ซิมมอนส์ตกตะลึงกับการดำเนินการทั้งหมด ทัศนคติของเขาสะท้อนให้เห็น ชื่นชอบการรีวิวของเราสามารถติดตามการรีวิวได้ที่นี้ทีเดียว เว็บรีวิวหนัง