รีวิว We’re the Millers

หนังเกี่ยวกับครอบครัวที่แสนอบอุ่น แต่แหม่..เรทไม่ครอบครัวเลยนะ และเป็นหนังที่มีความตลกอีกด้วย เป็นหนังที่มาในลักษณะสองแง่สองง่าม จะว่าดีก็เพื่อบันเทิง ไม่สามารถนำมาเป็นสาระในชีวิตจริงได้ เนื่องจากทุกอย่างดูเป็นการล้อธรรมเนียมสูตรหนังครอบครัวให้ออกมาตรงข้ามเกือบหมด ฉะนั้นบุตรหลานท่านใดคิดจะดูเรื่องนี้อาจต้องมีวิจารณญาณสักเล็กน้อย ไม่งั้นจะคิดว่าคือหนังครอบครัวสุขสันต์ทั้งที่พฤติกรรมทั้งหมดไม่ใช่่สิ่งที่ควรนำมาเป็นตัวอย่างทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นหากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วก็นับเป็นความบันเทิงที่ปล่อยกันได้สุดตัวอย่างไม่เกรงใจใคร ซึ่งเป็นความรู้สึกที่บันเทิงเอาเรื่องไม่น้อย ดูได้ที่ ดูหนัง

 

 

เรื่องเริ่มต้นจาก เดวิด (Jason Sudeikis) พ่อค้ายาระดับล่างที่ต้องหาเงินชดใช้ แบรด (Ed Helms) ผู้มีอิทธิพลรวยเหลือล้น ทว่าชีวิตต้องพลิกพลันหลังจากโดนขโมยเงินที่ได้จากการขายยาไปจนหมด ทำให้ชีวิตมาถึงคราวตกอับเพราะสิ้นเนื้อประดาตัว กระนั้นแบรดเสนอหนทางแก้ตัวด้วยการให้ทำงานขนยาล็อตใหญ่จากเม็กซิโกเข้ามาอเมริกา แน่นอนว่าเหมือนง่ายแต่ทำจริงไม่ง่ายอย่างปากพูด จนกระทั่งได้ความคิดหนึ่งที่ไม่มีใครนึกถึง

ที่มีความคิดที่จะเข้าออกเม็กซิโกและอเมริกา คือการสร้างครอบครัวปลอมๆเพราะดูไม่น่าสงสัย ใครๆก็มองเป็นครอบครัวสุขสันต์ไปเที่ยวตามประสาวันหยุด ซึ่งกว่าจะได้ครอบครัวปลอมนี้ต้องว่าจ้างยื่นข้อเสนอให้กับ โรส (Jennifer Aniston) สาวนักเต้นคลับบาร์มาเป็นภรรยา , เคนนี่ (Will Poulter) เด็กใสซื่อบริสุทธิ์ที่พกความซิงมาเป็นลูกชาย และ เคซี่ย์ (Emma Roberts) สาวแสบสุดห้าวมาเป็นลูกสาว โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้การสมมติในนามของครอบครัวมิลเลอร์

ส่วนเรื่องทุนสร้างของหนังเรื่องนี้นั้น คือ ทุนสร้าง $37 ล้าน แต่สามารถทำกำไรอย่างงดงามในอเมริกาไป $150 ล้าน และทั่วโลก $270 ล้าน เรียกว่ากำไรเหลือล้นสำหรับหนังขายมุขตลกที่สามารถครองใจผู้ชมได้อยู่หมัด ทว่าในความเป็นจริงตัวหนังไม่ได้ชวนแปลกแหวกแนวอะไรสักเท่าไร หลายอย่างอยู่ที่ความลงตัวชวนน่าติดตามและจังหวะที่ได้แล้วได้อีกไม่น่าเบื่อ

 

รีวิว We’re the Millers

 

อีกทั้งสถานการณ์พาชวนลุ้นหลายครั้ง ซึ่งเราจะได้เห็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามทักษะของตัวละครที่ต่างมีจุดเด่นของตัวเอง ทำให้มีเรื่องราวมาใหม่อยู่เรื่อยๆไม่จมอยู่แค่เรื่องเดิม

แต่ก็นะ กระนั้นตัวหนังไม่ได้พูดปัญหาตามสถานการณ์มากนักเพราะมุ่งไปที่ความไม่กินเส้นของตัวละคร ด้วยเหตุนี้ปัญหาความชลมุนถูกแก้ไขอย่างง่ายดายและราบลื่นราวกับพกดวงมาด้วย นั้นรวมไปถึงบทสรุปในตอนจบที่ลงสูตรตายตัวทั้งที่มีเรื่องสนุกชวนไม่คาดฝันมาตลอด

แม้โดยรวมจะไม่ได้แปลกหรือสดใหม่แต่สิ่งที่ต้องยกให้คือความไม่ปกติ โดยเฉพาะการรวมตัวละครที่ต่างขั้วต่างนิสัยมารวมตัวกันและยังทำให้เหมือนครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียว ซึ่งมุขควรดูน่ารำคาญที่ต้องมาฟังความคิดคนละมุมมองที่เถียงไปมา แต่เรื่องนี้ไม่รู้สึกเช่นนั้นและคิดว่ามุขแต่ละอย่างดูเสียดสีหนักพอตัว

ในส่วน ข้อสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับทุกคนคือไม่มีใครดีไปซะทุกคน แต่อาจยกเว้นให้กับเคนนี่เพราะเป็นเด็กใสซื่อและประสบการณ์น้อยที่สุด ซึ่งความเป็นคนซื่อทำให้ไม่ทันคนหลายเรื่อง รวมไปถึงวุฒิภาวะเรื่องเพศที่ต้องได้รับการสั่งสอนให้เข้าใจว่าควรทำยังไง ทว่าการสั่งสอนจากคนอื่นที่เหลือในครอบครัวปลอมๆไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าถูกต้อง(ถ้ามองเป็นมุขล้อเลียนก็อดอมยิ้มหัวเราะเบาๆไม่ได้)

อะไรที่ห้ามจะกลายเป็นสิ่งที่ทำได้เลยโดยไม่แคร์ว่าเป็นยังไงในสายตาคนอื่นๆ ตัวอย่างฉากให้ไปทำ Oral Sex กับตำรวจเพศเดียวกันเพื่อแลกกับค่าผ่านทาง ซึ่งคนอื่นให้กำลังใจว่านี่แหละเป็นเรื่องที่สมควรเพราะถ้าไม่ลองจะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองไม่ใช่เกย์(?!) หรือการสอนจูบที่เป็นมากกว่าทฤษฏีเพราะลงมือปฏิบัติจริงไปเลย แล้วชีวิตจริงใครจะไปสอนลูกตัวเองแบบนี้กัน ไปดูกันเลยที่ เว็บดูหนังฟรี

 

 

เเละด้าน เคนนี่คือตัวละครมีปมไร้ประสบการณ์ในโลกกว้างจนเหมือนงี่เง่าในบางโอกาส ซึ่งสาเหตุมาจากแม่ของตัวเองที่มักไม่อยู่บ้านบ่อยครั้งจนเหมือนตัวคนเดียว นั่นทำให้เข้าหาเดวิดเพื่อสนิทสนมในฐานะคนแก้เหงาและรู้สึกมหัศจรรย์มากขึ้นที่ได้เดินทางต่างแดนเปิดมุมมองที่ตัวเองไม่รู้จักหรือสัมผัสมาก่อน

ขณะที่เคซี่ย์แตกต่างออกไปเพราะประสบการณ์มากกว่าและค่อนข้างมองโลกในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่ รวมไปถึงวุฒิภาวะเอาแต่ใจตามประสาวัยรุ่นที่ไร้การดูแล สำหรับตัวละครทั้งสองไม่ต่างไปจาก Coming of Age ที่ยังต้องเรียนรู้อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องเพศ ทัศนะคติ การคบหาเพศตรงข้าม ชีวิตความเป็นอยู่ และครอบครัว

แต่ซึ่ง เดวิดเองอาจเป็นตัวละครที่ไม่มีปมอะไรให้ใส่ใจเพราะที่รู้มีเพียงเรื่องขนยา แต่จะทำยังไงให้สำเร็จเพื่อรับผลตอบแทนคือสิ่งที่สะท้อนออกมาถึงความเห็นแก่ตัว บางครั้งปัดความรับผิดชอบและโยนให้คนอื่นรับเคราะห์แทนอย่างหน้าตาเฉย แต่เรื่องของเรื่องเดวิดไม่ใช่คนที่เห็นแก่ได้ไปซะทุกครั้ง

 

รีวิว We’re the Millers

 

ซึ่งท้ายที่สุดก็รู้ว่าอะไรคือสิ่งสำคัญระหว่างตัวเองกับครอบครัวปลอมๆที่ดูเหมือนจะเริ่มเป็นจริงทุกขณะ ส่วนโรสมีปัญหาเรื่องที่อยูเพราะค่าเช่าและงานเต้นระบำเปลือยที่ทางร้านเริ่มถดถอยจนต้องเสริมงานขายบริการทางเพศ แน่นอนว่าโรสปฏิเสธงานที่เพิ่มขึ้นนี้และลาออกในที่สุด ทว่าด้วยข้อเสนอของเดวิดจึงจำใจอย่างไม่มีทางเลือกเพื่อเงินไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ถ้าดูจากชีวิตโรสเห็นถึงความลำบากไม่น้อยในการดิ้นรนสู้ชีวิต โดยเฉพาะการดูถูกอาชีพที่มองในแง่ลบเป็นส่วนมาก แต่ถามว่านั้นใช่ทั้งชีวิตของเธอจริงๆหรือเปล่า

รีวิว We’re the Millers

ในส่วนของเรื่อง We’re the Millers คือหนังครอบครัวที่พกความแสบสันต์ได้อย่างครบรส โดยเฉพาะมุขที่มักพาเข้าเรื่องเพศอย่างเนียนๆราวกับเป็นเรื่องปกติทั้งที่ไม่น่าจะใช่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเหล่านักแสดงที่ตีบทเข้าขากันได้ดี ไม่ว่าจะ Jason Sudeikis,Will Poulter,Emma Roberts และ Jennifer Anistonอย่าลืมไปรับชมที่ ดูหนังฟรี

 

 

สำหรับคนสุดท้ายต้องบอกไม่ ธรรมดาเพราะโชว์ลีลาเต้นสุดเซ็กซี่จนลืมมาดคุณแม่เรียบอย่างไปเสียสนิท ถือว่าสนุกมากและมุขแต่ละอย่างค่อนข้างสดแล้วยังเสียดสีได้ฮาและตรงจนไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้ แต่ติดอย่างหนึ่งตรงที่อาจเป็นแบบอย่างไม่เหมาะสม เว้นไม่คิดอะไรมากเพราะเป็น

ความรู้สึกหลังดู

พ่อค้ายาชั้นต่ำ (เจสัน ซูเดคิส) จ้างนักเต้นระบำเปลื้องผ้า (เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) พังก์ (เอ็มม่า โรเบิร์ตส์) และหมอผี (วิล พอลเตอร์) มาเป็น “ครอบครัว” ของเขา เพื่อที่เขาจะได้ลักลอบเข้าออกเม็กซิโกด้วยฝูงใหญ่ ปริมาณกัญชา แน่นอนว่ามีปัญหาตามมาเรื่อยๆ ซึ่งนำไปสู่เสียงหัวเราะมากมาย WE’RE THE MILLERS เป็นหนังตลกที่ดีแต่ไม่ยอดเยี่ยม แน่นอนว่ามันไม่ใช่การจลาจลหัวเราะที่ฉันหวังไว้ แต่เมื่อเสียงหัวเราะมาถึงจุด พวกเขาก็แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้คุ้มค่าที่จะนั่งดูไปรับชมเลยที่ ดูหนังออนไลน์

 

 

ฉันจะลบความคิดเห็นเชิงลบออกไปให้พ้นทางก่อน และนั่นคือความจริงที่ว่ามุขตลกหลายๆ เรื่องดูเหมือนจะไม่เข้ากับมุกตลกของพวกเขา กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลายครั้งที่ฉันคิดว่ามุขตลกสามารถถ่ายทอดออกมาได้มากกว่านี้จริงๆ หากพวกเขาก้าวข้ามเส้นตาย แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขากลับเลือกทางออกที่ปลอดภัยและเสียงหัวเราะไม่ใหญ่เท่าที่ควร เมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ผลดีที่สุดคือตอนที่มันเริ่ม “ซุกซน” จริงๆ และรวมถึงฉากฮาๆ ที่ “แม่” และ “น้องสาว” สอนให้น้องชายคนเล็กรู้วิธีจูบอย่างถูกต้อง ฉากที่ยอดเยี่ยมอีกฉากหนึ่งเกิดขึ้นในเต๊นท์เมื่อเพื่อนใหม่ต้องการเข้าใกล้หน้าอกของอนิสตันเล็กน้อย

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับประโยชน์จากการแสดงที่ดีมากสี่เรื่องที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวจอมปลอมที่ต้องหนีจากตัวละครที่หลากหลาย นักแสดงทั้งสี่ทำหน้าที่ได้ดีมากในบทบาทของพวกเขา และนี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพอลเตอร์และโรเบิร์ตส์ในฐานะเด็กๆ และใช่ อนิสตันมีร่างกายที่เร่าร้อนมากสำหรับบทบาทนักเต้นระบำเปลื้องผ้า แต่อย่าคาดหวังให้เธอข้ามเส้นภาพเปลือย ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินไปค่อนข้างดี แต่ฉันต้องยอมรับว่ามันเริ่มยาวไปหน่อย ยังคงมีเสียงหัวเราะเพียงพอที่จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าชมและนักแสดงนำทั้งสี่ก็เข้ากันได้ดี ฉันสงสัยว่าหลายคนจะบ่นว่าภาคต่อมีภาคต่อหรือไม่

หลังจากถูกโจรกรรม พ่อค้าหม้อ เดวิด (เจสัน ซูเดคิส) ถูกเจ้านายของเขาบังคับ (เอ็ด เฮล์มส์) ให้เดินทางไปเม็กซิโกเพื่อเก็บกัญชาจำนวนมาก เพื่อปรับปรุงโอกาสที่เขาจะผ่านพ้นพรมแดนไปได้ เดวิดขอให้โรส (เจนนิเฟอร์ อนิสตัน) นักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่ยากจน) เด็กข้างบ้านที่ไร้เดียงสาอย่างสิ้นหวัง (วิลล์ โพลเตอร์) และเด็กหญิงเร่ร่อน (เอ็มม่า โรเบิร์ตส์) มาร่วมกับเขาและแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาอยู่กันเป็นครอบครัวเดียวกัน วันหยุด. คนแปลกหน้าทั้ง 4 คนเดินทางอย่างสนุกสนานและเติบโตเป็นครอบครัวเดียวกัน

 

รีวิว We’re the Millers

 

นี่เป็นอีกหนึ่งหนัง Road Trip ที่ไม่เหมาะสม มีช่วงเวลาที่เฮฮาและกลุ่มมีเคมีที่สนุกสนาน ข้อร้องเรียนเล็กน้อยเพียงอย่างเดียวของฉันคือเจนนิเฟอร์ อนิสตันเป็น MILF มากกว่าผู้รับผลประโยชน์ ถึงกระนั้นเธอก็กำลังถูกเล่นเป็นสิ่งที่ร้อนแรงต่อไป มันทำให้ฉันนึกถึง Demi Moore ใน Striptease อนิสตันกำลังทำเปลื้องผ้าเรื่องใหญ่ขนาดนั้นอีกต่อไปหรือไม่? ถ้าพวกเขาไม่เล่นมันมากก็จะทำงานได้ดีขึ้นมาก

ค่อนข้างยากที่จะตัดสินใจว่าอะไรที่น่าอายที่สุดเกี่ยวกับ “We’re the Millers” ทางเลือกดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด แต่ฉันเดาว่าตัวเลือกที่ดีอย่างหนึ่งคือต้องใช้นักเขียน 4 คนมาสร้างขยะชิ้นนี้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณสามารถคาดหวังได้เมื่อคุณอ่านเรื่องตลกและเจนนิเฟอร์อนิสตัน เหมือนกับที่เธอทำในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา หรืออาจจะ 20 ก็ได้ ถ้าคุณนับ “เพื่อน” ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ผู้คนยังคงมองเธอในฐานะคนรักของอเมริกาและเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์

ฉันไม่สามารถเห็นด้วยกับทั้ง เธอมักจะเล่นเป็นตัวละครเดียวกัน เธอมีความสามารถด้านตลกเกือบเป็นศูนย์ (เป็นที่ยอมรับว่างานเขียนที่น่าสยดสยองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน) และแน่นอนว่าในท้ายที่สุด ตัวเอกชายก็ตกหลุมรักเธอเสมอเพราะเธอเป็นคนตลกมาก ผู้หญิงรักอิสระที่เข้มแข็งและน่ารัก ฉันอธิบายเธอได้คำเดียวว่า จืดชืด ใช่แล้วฉันจะลืมไปได้อย่างไร: แน่นอนว่าพวกเขาทำให้แน่ใจว่าหลายครั้งว่าเธอร้อนแรงแค่ไหนสำหรับผู้หญิงอายุ 40 ปีเพื่อที่เราจะได้ไม่ลืม เมื่อพูดถึงนักแสดงที่เหลือ ยกเว้นอย่างเดียว ไม่มีอะไรพิเศษเช่นกัน Emma Roberts และ Will Poulter อาจพิสูจน์ให้เห็นในโปรเจ็กต์อื่นๆ ว่าพวกเขามีความสามารถ แต่ที่นี่ไม่มี ฮาห์นน่าอายมาก เฮล์มส์ช่างน่าจดจำมาก และ Offerman ก็อยู่

ที่นี่ด้วยบทของเขาจาก “Parks & Recreation” ชายสุดลูกผู้ชาย นักแสดงนำ (แม้ว่าอนิสตันจะให้เครดิตผิดในตอนแรก) ที่นี่คือเจสัน ซูเดคิส และฉันจัดการเขาได้สบายๆ เขามีช่วงเวลาที่นี่เมื่อเขาแสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องตลกและเขายกระดับเนื้อหาอย่างแน่นอน แต่มันอ่อนแอเกินไปสำหรับเขาที่จะทำนาฬิกาเรือนนี้ให้ดูดี เรื่องนี้ไร้สาระและไม่สมจริงตั้งแต่ต้นจนจบในช่วง 2 ชั่วโมงนี้ (ที่รู้สึกเหมือน 3) ภาพยนตร์มีความละเอียดอ่อนเป็นศูนย์ ส่วนโรแมนติกนั้นน่าประจบประแจงโดยเฉพาะฉากจูบในตอนท้าย และละครเกี่ยวกับยาเสพติดไม่เคยตึงเครียดหรือน่าสนใจ ลองนึกภาพ Breaking Bad ในรูปแบบตลกและกับกลุ่มนักเขียนที่แย่มาก นี่คือสิ่งที่คุณได้รับที่นี่ อย่าดู.

สรุป หนังเรื่องนี้ถือว่าจะเป็นหนังเเนวครอบครัวก็ไม่ เเต่ก็ยังคงความอบอุ่นอยู่นะ เเถมยังมีความตลกเเถมมาด้วย รวม ๆ เเล้วถือว่าหนังเรื่องนี้ครบลรสเลย เป็นหนังตลกที่เเปลกเเนว ชื่นชอบการรีวิวของเราสามารถติดตามการรีวิวได้ที่นี้ทีเดียว เว็บรีวิวหนัง